
Tuesday, July 7, 2009
Monday, June 22, 2009
เหล็กเส้น

ผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น คือผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวที่เกิดจากกระบวนการรีดร้อน โดยการนำแท่งเหล็ก (Billet) มาเผาให้ร้อนแล้วรีดลดขนาดให้มีลักษณะเป็นเส้น
ประเภทผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต
1. เหล็กเส้นก่อสร้าง (Reinforced Steel Bar)
2. เหล็กเส้นสำหรับงานตีขึ้นรูปร้อน (Hot forged steel bar)
3. เหล็กเส้นสำหรับงานตกแต่งทางกล (Steel bar for machine structural and general uses)
4. เหล็กเส้นสำหรับงานดึงเย็น (Cold finished steel bar)
5. เหล็กเส้นสำหรับงานคอนกรีตอัดแรง (Post tensioned steel bar)
เหล็กเส้นก่อสร้าง (Reinforced Steel Bar)
เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณการใช้มากที่สุด ใช้สำหรับงานเหล็กเสริมคอนกรีต การผลิตต้องผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรม แบบออกเป็น เหล็กเส้นกลม (Round bar), มอก. 20 และ เหล็กเส้นข้ออ้อย (Deformed Bar), มอก. 24
เหล็กเส้นสำหรับงานตีขึ้นรูปร้อน (Hot forged steel bar)
เป็นเหล็กเส้นชนิดรีดร้อน มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ สกรู นอตขนาดใหญ่ ประกับรางรถไฟ เป็นต้น
แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ การตีขึ้นรูปอิสระ (Free Forging) และ การตีขึ้นรูปในแบบ (Die Forging) การตีขึ้นรูปแบบที่สองให้รายละเอียดและคุณภาพของงานแข็งกว่าการตีขึ้นรูปด้วยแบบที่หนึ่งมาก หลังจากตีขึ้นรูปแล้วสามารถนำไปอบ และ/หรือ ชุบ เพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นๆ คลายตัวจากความเครียดที่เกิดจากการตีงานขึ้นรูปร้อน
เหล็กเส้นสำหรับงานตกแต่งทางกล (Steel bar for machine structural and general uses)
เป็นเหล็กเส้นรีดร้อนที่ใช้การไส กลึง และการเจาะให้เป็นรูปร่างต่างๆตามต้องการ เช่น เพลาของเครื่องจักร ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ สกรู นอต เป็นต้น
แบ่งตามคุณสมบัติทางกลและ/หรือทางเคมีให้เหมาะกับการใช้งาน หลังจากการขึ้นรูปแล้วสามารถนำไปอบ และ/หรือชุบ เพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นมีคุณสมบัติทางกลเหมาะสมเฉพาะทาง
เหล็กเส้นสำหรับงานดึงเย็น (Cold finished steel bar)
ผลิตโดยการนำเหล็กรีดร้อนมาทำการดึงเย็นเพื่อให้มีรูปร่างที่ละเอียดและแน่นอนกว่ารูปร่างเดิม หรือเปลี่ยนรูปร่างไป และเป็นการเพิ่มคุณสมบัติทางกลให้สูงขึ้น ลดการสูญเสียน้ำหนักของวัตถุ น เหล็ก Cold Drawn Profile ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของสลักต่างๆ เป็นต้น
เหล็กเส้นสำหรับงานคอนกรีตอัดแรง (Post tensioned steel bar)
มีลักษณะเป็นข้ออ้อยเกลียวหรือเหล็กกลมก็ได้ คุณสมบัติทางกลที่สำคัญคือมีแรงดึงสูงกว่าเหล็กก่อสร้างธรรมดาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าตัว
เหล็กลวด ลวดเหล็กกล้า

เหล็กลวด คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กรูปทรงยาวที่ผลิตมาจากการรีร้อนเหล็กแท่ง (Billet) โดยทั่วไป เหล็กลวดนำไปผลิตต่อด้วยการดึงเย็น (Cold drawn) เพื่อผลิตเป็นลวดเหล็กกล้า (Steel wire) ที่มีผิวเรียบขึ้น สำหรับนำไปใช้ในงานอุสาหกรราต่อเนื่อง เช่น การผลิตตะปู ตะแกรง นอต สกรู ลวดเชื่อม ลวดเสริมยางรถยนต์ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ปลายทางของเหล็กลวดแบ่งได้เป็น
- เหล็กลวดสำหรับผลิตลวดเหล็ก สำหรับงานทั่วไป เป็นเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ นำไปผ่านกระบวนการดึงเย็นเพื่อลดขนาดจากเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5.5-19 มม. ให้เหลือ 0.1-18 มม. เพื่อผลิตเป็นลวดเหล็กคาร์บอนต่ำ แล้วนำไปชุบสังกะสี เพื่อป้องกันการเกิดสนิม หรืออาจไม่ชุบก็ได้ จากนั้นนำไปผลิตตะปู หรือทำการเชื่อม เพื่อผลิตตะแกรงลวดเหล็กกล้าเสริมคอนกรีต ตะแกรง ลวด และลวดหนาม
- เหล็กลวดสำหรับผลิตลวดเชื่อม (Welding wire) นำไปดึงเย็นเพื่อผลิตเป็นลวดเหล็กสำหรับผลิตลวดเชื่อม มีสองกลุ่ง คือ Metal Inert Gas (MIG) และ Cover Electrode
- เหล็กลวดสำหรับผลิตสลักภัณฑ์ (Fastener) โดนนำไปดึงเย็นแล้วทุบขึ้นรูปเย็น จากนั่นทำการชุบสังกะสีเพื่อป้องกันการเกิดสนิม หรืออาจไม่ชุบก็ได้ ผลิตภัณฑ์ปลายทางได้แก่ แป้นเกลียว (Nut), สกรู (Screw), สลัก (Bolt), หมุดเหล็ก (Rivet), หมุด (Pin), พรุกฝังปูน (Anchor), ตาปูหัวใหญ่ (Stud), ปลอก (Sleeve) ใช้งานมากในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล และโครงสร้างงานเหล็ก
- เหล็กลวดสำหรับนำไปผลิตลวดเหล็กคาร์บอนสูงสำหรับงานก่อสร้าง เหล็กลวดคาร์บอนสูง นำไปดึงเย็นเพื่อผลิตเป็นลวดเหล็ก แบ่งได้ สามกลุ่มคือ
- ลวดเหล็กกล้าคาร์บอนสำหรับคอนกรีตอัตแรงชนิดเส้นเดี่ยว (Steel wire for pre stressed concrete) ใช้เพื่อเสริมแรงในคอนกรีต เช่นการทำหมอนคอนกรีตรถไฟ
- ลวดเหล็กคาร์บอนสูงสำหรับคอนกรีตอัดแรงชนิดตีเกลียว (PDC Strand) นำไปตีเกลียวเพื่อใช้ในงานคอนกรีตอัตแรงขนาดใหญ่
- เชือกลวดเหล็กกล้า (Wire rope) นำลวดเหล็กไปตีเกลียวจนกลายเป็นเชือกลวดสำหรับใช้ทำ Cable และงานลวดต่างๆ
- เหล็กลวดสำหรับผลิตสปริง สปริงมีอยู่ด้วยกันสามแบบคือ
- สปริงที่ให้แรงเมื่อเกิดแรงอัด (Compression spring)
- สปริงที่ให้แรงเมื่อเกิดแรงดึง (Tensile spring)
- สปริงที่ให้แรงเมื่องเกิดแรงบิด (Tension spring)
โดยสปริงเหล่านี้มักใช้ในงานต่างๆ เช่น สปริงในส่วนประกอบของรถยนต์ เครื่องจักรต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า เตียงนอน เป็นต้น
- เหล็กลวดสำหรับผลิตลวดเหล็กเสริมยางรถยนต์ ได้แก่เหล็กลวดเปียนโนที่ถูกนำไปดึงเย็นหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ลวดเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางในช่วง 0.15-0.38 มม. แลนำไปผลิตต่อเป็น Bead Wire สำหรับช่วยยึดโครงสร้างของยาง และ Tyre Cord สำหรับเสริมหน้ายางเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรง ใช้ในงานผลิตล้อรถต่างๆ รวมถึงล้อเครื่องบิน ในชั้นคุณภาพที่รองลงมายังนำไปใช้เพื่อเสริมความเข็งแรงให้วัสดุยางอื่น เช่น ท่อยางไฮโดรลิกแรงดันสูง สายพานยางขนาดใหญ่ เป็นต้น
Thursday, June 18, 2009
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Structural Steel) เรียกชื่อตามการนำไปใช้งาน หมายถึง เหล็กทรงยาวหน้าตัดต่างๆ ใช้ทำเป็นโครงสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น เสา คาน คอสะพาน เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณมีหลายชนิด โดยทั่วไปเรียกชื่อตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ เช่น H-beam, I-beam เป็นต้น
การแยกความแตกต่างระหว่างเหล็กตัว H และเหล็กตัว I สามารถดูได้จากความแตกต่างของลักษณะปีก (Flange)
I-Beam
H-Beam
ลักษณะปีก B:
- H-Beam มีลักษณะมุมตัดเป็นฉาก
- I-Beam มีลักษณะมุมลบเหลี่ยมจากแกนกลางมาที่ปลาย
เหล็กประเภทนี้สามารถต้านทานการตัดโค้ง (Bending) และการบิด (Twisting) ได้ดี จึงใช้เป็น เสา (Columns), คาน (Beams) และตงพื้น (Bridge girders) ในงานก่อสร้างและงานสถาปนิก
แบ่งตามกระบวนการผลิตได้สองประเภทหลัก
1 เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel)
มีทั้งเหล็กรูปพรรณรีดร้อนขนาดใหญ่ มีความกว้างมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มม. และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนขนาดเล็ก มีความกว้างน้อยกว่า 200 มม.
เกิดจาการหลอมและหล่อขึ้นรูปเป็นเหล็กแท่งในขั้นต้น แล้วจึงให้ความร้อนเพื่อทำการรีด เพื่อลดขนาดและขึ้นรูปอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้แก่ เหล็กตัว H , และเหล็กตัว I เป็นต้น
2 เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดเย็น (Cold formed structural steel)
เกิดจากการพับขึ้นรูปเหล็กกล้าแผ่นในขณะที่อยู่ในอุณหภูมิปรกติ โดยใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนหรือเหล็กแผ่นชุบสังกะสีเป็นวัตถุดิบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน มีความต้องการความต้านทานการกัดกร่อน (Corrosion resistant) มากหรือน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นโครงสร้างเสา คาน และอื่นๆ ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้แก่ เหล็กตัว C เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณมีหลายชนิด โดยทั่วไปเรียกชื่อตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ เช่น H-beam, I-beam เป็นต้น
การแยกความแตกต่างระหว่างเหล็กตัว H และเหล็กตัว I สามารถดูได้จากความแตกต่างของลักษณะปีก (Flange)


ลักษณะปีก B:
- H-Beam มีลักษณะมุมตัดเป็นฉาก
- I-Beam มีลักษณะมุมลบเหลี่ยมจากแกนกลางมาที่ปลาย
เหล็กประเภทนี้สามารถต้านทานการตัดโค้ง (Bending) และการบิด (Twisting) ได้ดี จึงใช้เป็น เสา (Columns), คาน (Beams) และตงพื้น (Bridge girders) ในงานก่อสร้างและงานสถาปนิก
แบ่งตามกระบวนการผลิตได้สองประเภทหลัก
1 เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel)
มีทั้งเหล็กรูปพรรณรีดร้อนขนาดใหญ่ มีความกว้างมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มม. และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนขนาดเล็ก มีความกว้างน้อยกว่า 200 มม.
เกิดจาการหลอมและหล่อขึ้นรูปเป็นเหล็กแท่งในขั้นต้น แล้วจึงให้ความร้อนเพื่อทำการรีด เพื่อลดขนาดและขึ้นรูปอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้แก่ เหล็กตัว H , และเหล็กตัว I เป็นต้น
2 เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดเย็น (Cold formed structural steel)
เกิดจากการพับขึ้นรูปเหล็กกล้าแผ่นในขณะที่อยู่ในอุณหภูมิปรกติ โดยใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนหรือเหล็กแผ่นชุบสังกะสีเป็นวัตถุดิบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน มีความต้องการความต้านทานการกัดกร่อน (Corrosion resistant) มากหรือน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นโครงสร้างเสา คาน และอื่นๆ ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้แก่ เหล็กตัว C เป็นต้น
Subscribe to:
Posts (Atom)